BJC ถูกเบรคซื้อ "เมโทร" เวียดนาม ปรับแผนส่ง "ทีซีซีโฮลดิ้ง" เข้าซื้อกิจการแทน
รายงานข่าวระบุว่าที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC มีมติไม่อนุมัติการเข้าซื้อกิจการ เมโทร แคช แอนด์ แครี่ เวียดนาม ลิมิเต็ด เนื่องจากเงื่อนไขทางการเงินในเวียดนามมีการเปลี่ยนแปลงส่งผลให้มีความเสี่ยงสูง หลังจากธนาคารกลางของเวียดนามได้เพิ่มกฎระเบียบการเข้าซื้อกิจการในเวียดนามทำให้ต้องเพิ่มเงินอีกเท่าตัวคาดว่าบริษัทต้องกู้ยืมเงินถึง 4 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ผู้บริหาร BJC เปิดเผยต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นว่า บริษัทจะกลับไปเจรจาภายใต้เงื่อนไขการซื้อกิจการ เมโทร เวียดนาม อีกครั้ง หากได้ข้อสรุปที่ดีขึ้นทางบริษัทจะกลับมานำเสนอต่อผู้ถือหุ้นให้ลงมติอีกครั้งหนึ่ง
แต่หากผู้ถือหุ้นยังยืนยันที่จะไม่อนุมัติการเข้าซื้อกิจการ ทางบริษัท ทีซีซี โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ BJC พร้อมจะเป็นผู้เข้าซื้อกิจการแทน
ก่อนหน้านี้ในช่วงเดือนสิงหาคม 2557 คณะกรรมการบริษัทเบอร์ลี่ยุคเกอร์ อนุมัติให้เข้าลงทุนในบริษัทเมโทร แคช แอนด์ แครี่ เวียดนาม ลิมิเต็ด จำนวน 100% จากเมโทร แคช แอนด์ แครี่ อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง บี.วี. ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งตามกฎหมายเนเธอร์แลนด์โดยมีมูลค่ากิจการ รวม 655 ล้านยูโรหรือ 2.83 หมื่นล้านบาท
สำหรับ METRO Vietnam ก่อตั้งประเทศเวียดนามในปี 2545 และได้พัฒนาเป็นผู้นำในธุรกิจตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคสมัยใหม่ ซึ่งมีร้านทั้งสิ้น 19 ร้าน ใน 14 เมือง ของประเทศเวียดนาม ด้วยส่วนแบ่งการตลาดร้อยละ 22 ของตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคสมัยใหม่ และพื้นที่ขายสุทธิรวม 110,000 ตารางเมตร ทำให้ METRO Vietnam เป็นธุรกิจตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคสมัยใหม่ อันดับ 1 ซึ่งดำเนินธุรกิจโดยต่างชาติ และเป็นอันดับ 2 ของทั้งตลาดธุรกิจตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคสมัยใหม่
METRO Vietnam มีเงินลงทุนปัจจุบัน จำนวน 2,868 ล้านบาท (1,911,749 ล้านดองเวียดนาม) โดยมี เมโทร แคช แอนด์ แครี่ อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง บี.วี. (METRO Cash & Carry International Holding B.V.) เป็นเจ้าของเงินลงทุนร้อยละ 100
ด้านบล.เอเซียพลัส ตั้งจุดสังเกตและปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุน ควรทราบ คือ METRO ใช้เวลากว่า 12 ปีในการเปิดสาขา 19 แห่ง และไม่มีการเปิดสาขาเพิ่มเลยช่วง 2 ปีหลังสุด โดยอาจเกิดจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่ยังคุ้นชินกับการซื้อของในร้านโชห่วย / ตลาดสด เป็นหลัก และอาจต้องใช้เวลาพอสมควรในการเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านี้
ขณะที่สัดส่วนสินค้าที่ขายใน METRO พบว่า กลุ่มสินค้าที่มี Margin สูง อาทิ อาหารสด และกลุ่มเฮาส์แบรนด์ มีสัดส่วนรวมกัน 29% ของยอดขายทั้งหมด ถือว่าเป็นสัดส่วนที่มาก (ใกล้เคียง MAKRO) แต่บริษัทยังมีผลขาดทุนเกือบ 400 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ MAKRO ที่มีกำไร
ช่วงที่ผ่านมาบริษัทนำสินค้าในกลุ่มทั้ง ขนม,กระดาษ,สบู่ ฯลฯ มาลองตลาดในเวียดนามบ้างแล้วแต่ผลตอบรับยังไม่ดีมาก ปัญหาจึงน่าจะอยู่ที่ ทำอย่างไรให้ตอบโจทย์พฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภค มากกว่าการเพิ่มจุดจำหน่าย
ทั้งนี้ BJC เชื่อว่าการเข้าซื้อเงินลงทุนใน METRO Vietnam จะเป็นประโยชน์ต่อบริษัท และผู้ซื้อหุ้นของบริษัท ดังนี้
1.บริษัทจะมีช่องทางในการเข้าสู่ตลาดร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่ในประเทศเวียดนาม
2.ตลาดร้านสะดวกซื้อในประเทศเวียดนามเป็นตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าสนใจ และเป็นที่คาดหมายได้ว่าจะมีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่ง
3.บริษัทจะมีช่องทางในการเข้าถึงการลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Supply Chain Infrastructure)
4.การเข้าซื้อกิจการ METRO Vietnam เป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัท ซึ่งมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำทางธุรกิจที่ครอบคลุมธุรกิจทุก ๆ ด้าน (Entire Value Chain) ในภูมิภาค
5.เพื่อขยายขนาดของบริษัทให้ใหญ่ขึ้น เพื่อให้มีจุดยืนที่ดีในยุคประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC)
6.เพื่อประหยัดเงินทุน และสร้างโอกาสในการทำกำไรในอนาคตของบริษัท รวมทั้งการเริ่มต้นสร้างธุรกิจด้านอื่นๆ ของบริษัท
Image : Prachachat Online (8 Jan 2015)
Info : Prachachat Online (8 Jan 2015) & Efinance Thai