BTS สะพานตากสิน จะไม่มีปัญหาคอขวดอีกต่อไป !!!
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา หนึ่งในรถไฟฟ้าสายหลักของคนกรุงอย่าง BTS ได้มีการขยายเส้นทางมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงทาง BTS เองก็ได้ซื้อรถไฟฟ้าขบวนใหม่มาหลายขบวน เพื่อให้มีความถี่การเดินรถที่เหมาะสม สามารถรองรับผู้โดยสารได้อย่างเพียงพอ
แต่ปัญหาหนึ่งของ BTS สายสีลมที่ไม่ว่าจะเพิ่มขบวนรถเท่าไหร่ ก็ยังไม่สามารถเพิ่มความถี่การเดินรถให้มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับสายสุขุมวิทได้นั่นคือ ปัญหาคอขวด บริเวณสถานีสะพานตากสิน ซึ่งเป็นลักษณะทางเดี่ยว ทำให้ในปัจจุบันรถไฟฟ้าสามารถวิ่งผ่านได้ทีละขบวน หรือไม่สามารถวิ่งสวนกันได้นั่นเอง
ซึ่งปัญหานี้ได้มีการวางแผนกันระหว่างภาครัฐและทางบีทีเอสมาตั้งแต่ปี 60 และเกือบทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีมติเห็นชอบแล้ว เหลือเพียงแต่รอผลการพิจารณารายงานวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) จากคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (คชก.) ที่คาดว่าจะเสร็จในปลายปี 62 นี้ แล้วสามารถดำเนินงานก่อสร้างได้เลย ส่วนแผนการปรับปรุงจะเป็นอย่างไร แล้วจะช่วยแก้ปัญหาได้อย่างไรบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ
BTS สะพานตากสิน เชื่อมต่อ รถ - ราง - เรือ
สถานีสะพานตากสิน เริ่มเปิดใช้บริการมาตั้งแต่ปี 2542 ซึ่งตามแผนตอนแรกเป็นเพียงสถานีชั่วคราวเท่านั้น และมีแผนว่าจะทุบตัวสถานีที่อยู่บนรางด้านหนึ่งทิ้ง แต่ด้วยทำเลที่ตั้งของสถานีที่ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยา และสามารถเชื่อมต่อท่าเรือสาทรที่เป็นจุดจอดเรือด่วนเจ้าพระยา และเรือท่องเที่ยว เพื่อต่อเรือไปยังสถานที่สำคัญหลายแห่งริมน้ำได้
ทำให้ในแต่ละวันมีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติเดินทางมาเป็นจำนวนมาก ประกอบกับในปีต่อๆ มา บีทีเอสได้ขยายเส้นทางเดินรถข้ามไปยังฝั่งธนฯ ทำให้จำนวนผู้โดยสารเยอะขึ้น จึงทำให้เริ่มมีการหาแนวทางแก้ปัญหาของสถานีนี้ จากเดิมที่จะทุบทิ้งแล้วสร้าง Sky walk เชื่อมมาจากสถานีสุรศักดิ์ ก็กลายเป็นรักษาสถานีไว้และขยายชานชาลาออกด้านข้าง ให้รถไฟฟ้าสามารถสวนกันได้แทน
ปัญหาที่เกิดขึ้นจากสถานีในปัจจุบัน
อย่างที่กล่าวไปในข้างต้นว่า ชานชาลาตั้งทับอยู่บนรางรถไฟฟ้าด้านหนึ่ง ทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมามากมายในปัจจุบัน โดยสาเหตุหลัก คือ ทำให้การเดินรถไฟเป็นลักษณะทางวิ่งเดี่ยว ไม่สามารถสวนกันได้ และต้องเสียเวลาในการจอดสับรางเวลาจะเดินรถผ่าน ส่งผลต่อความถี่รถไฟฟ้าที่ไม่สามารถเพิ่มได้เต็มประสิทธิภาพ รวมถึงยังมีปัญหาเรื่องชานชาลา ทั้งฝั่งเข้าเมืองและออกเมือง ต้องใช้ชานชาลาเดียวกันในการขึ้นรถไฟ ทำให้หลายคนอาจเกิดความสับสน
สิ่งที่จะได้จากการปรับปรุงสถานี
จากปัญหาที่เกิดขึ้น จึงทำให้ต้องมีการปรับปรุงสถานีสะพานตากสิน เพื่อเพิ่มรางรถไฟและชานชาลา โดยเมื่อโครงการแล้วเสร็จ จะช่วยคลี่คลายปัญหาเรื่องคอขวด ที่เริ่มสะสมมายาวนาน ตั้งแต่มีการขยายเส้นทางเดินรถสายสีลม ส่งผลให้ความถี่การเดินรถสูงสุดในช่วงเวลาเร่งด่วนของทั้งสายสีลมใช้เวลาน้อยลง จากปัจจุบันที่สูงสุด 3.45 นาที / ขบวน ในอนาคตคาดว่าจะสามารถเพิ่มความถี่ได้สูงสุดเท่ากับสายสุขุมวิทที่มีความถี่ 2.30 นาที / ขบวน
งบก่อสร้างกว่าพันล้าน ปรับปรุงนาน 40 เดือน
หนึ่งในสาเหตุหลักที่โครงการนี้มีระยะเวลาในการวางแผนนานมาจากที่ตั้งของตัวสถานี ที่ถูกขนาบด้วยสะพานสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือ สะพานตากสินทั้ง 2 ฝั่ง ทำให้การขยายตัวสถานีมีความยุ่งยาก เพราะจะต้องทำการทุบสะพานฝั่งที่ติดสถานีออกบางส่วน และจะต้องผ่านการเห็นชอบจากกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ที่ดูแลสะพานส่วนนี้ก่อน จึงจะสามารถดำเนินการได้ ซึ่งล่าสุด 19 ก.ย. 62 ทาง ทช. ได้อนุญาตแล้ว จึงเหลือเพียงรอผล EIA ซึ่งคาดว่าจะสามารถอนุมัติได้ช่วงปลายปี จึงจะสามารถเริ่มก่อสร้างได้
โครงการนี้ คาดว่าจะใช้งบก่อสร้างทั้งหมดรวม 1,400 ลบ. ในระยะเวลา 40 เดือน (3 ปี 4 เดือน) โดยแบ่งเป็นปรับปรุงสะพาน 30 เดือน และปรับปรุงสถานี 10 เดือน
งานปรับปรุงสะพานตากสิน
ก่อนที่จะปรับปรุงตัวสถานี จะต้องมีการปรับปรุงสะพานตากสินเพื่อให้มีพื้นที่ว่างมากพอที่จะขยายสถานีได้ โดยเพื่อไม่ให้กระทบกับผู้ที่ใช้สะพานในการสัญจร ทางผู้รับผิดชอบได้วางแผนให้มีการขยายพื้นที่สะพานทั้งฝั่งสะพานตากสินขาออก และสะพานตากสินขาเข้าไปข้างละ 2.30 ม. เป็นระยะทาง 300 ม. พร้อมเสาตอม่อรับเพื่อรับน้ำหนักฝั่งละ 8 ต้นก่อน แล้วค่อยทำการทุบสะพานฝั่งที่ติดกับตัวสถานี กว้างฝั่งละ 1.80 ม. ยาว 300 ม. ออก เพื่อให้ช่องจราจรยังคง 3 ช่องตลอดเวลาที่ก่อสร้าง
งานปรับปรุงสถานีรถไฟฟ้า
สำหรับการปรับปรุงสถานีสะพานตากสิน เนื่องจากแต่เดิมทางบีทีเอสได้ก่อสร้างทางคู่เพื่อรองรับการเดินรถไฟฟ้า 2 ทางอยู่แล้ว เพียงแต่มีการสร้างชานชาลาไว้ทับตัวโครงสร้างที่จะรองรับรางรถไฟไว้ฝั่งหนึ่ง ทำให้ต้องมีการรื้อเอาชานชาลาเดิมออกก่อน แล้ววางรางเพิ่มในส่วนที่ขาดหายไปให้เป็นทางคู่ รถไฟจึงจะวิ่งสวนทางกันได้ หลังจากนั้นค่อยทำการสร้างชานชาลาใหม่ทั้ง 2 ฝั่ง และงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่น หลังคาคลุม บันไดขึ้น - ลง ลิฟต์โดยสาร เป็นต้น
ผลกระทบ และการแก้ไขปัญหา
แน่นอนว่า เมื่อโครงการเริ่มดำเนินการ จะทำให้บริเวณที่ทำการปรับปรุงเกิดความไม่สะดวก โดยเฉพาะสถานีสะพานตากสิน ที่อาจจะต้องปิดให้บริการชั่วคราวและให้รถไฟฟ้าวิ่งผ่านเท่านั้น อย่างไรก็ตามจนถึงปัจจุบัน (ต.ค. 62) ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน แต่ถ้าหากไม่ปิดคาดว่าจะต้องใช้เวลามากกว่า 40 เดือน จากที่คาดการณ์ไว้ หรือถ้าปิดสถานีก็จะทำให้กระทบต่อผู้ใช้บริการสถานีสะพานตากสินประมาณ 40,000 คน / วัน ซึ่งทางภาครัฐและเอกชนประกอบด้วย 4 หน่วยงาน คือ กทม. ทช. บช.น. และบีทีเอส ก็ได้มีการวางแผนเพื่อรับมือในอนาคต โดยจะมีบริการรถตู้ Shuttle Bus วิ่งให้บริการระหว่างสถานีสุรศักดิ์ และสถานีกรุงธนบุรี ไปยังสถานีสะพานตากสิน เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนตลอดทั้งวัน และมีการเพิ่มความถี่การเดินรถในชั่วโมงเร่งด่วนในตอนเช้าและตอนเย็น