เจาะทำเลย่านรัตนาธิเบศร์ (ฝั่งตะวันตก)
รัตนาธิเบศร์เป็นถนนเส้นหลักที่เชื่อมต่อไปสู่พื้นที่อื่นๆ ได้หลากหลาย ทั้งใช้วิ่งเข้าสู่ตัวเมืองกรุงเทพฯ หรือ ออกนอกเมืองไปยังฝั่งตะวันตก โดยพื้นที่รัตนาธิเบศร์ฝั่งตะวันตกนี้เองที่กำลังมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่ได้รวดเร็วเหมือนกับย่านอื่นๆ ในเมืองหลวง แต่ก็ถือว่าเป็นพื้นที่ที่คับคั่งไปด้วยกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และถูกใช้เป็น Hub หลักของการเดินทางเข้า-ออกสู่กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก
ในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของย่านรัตนาธิเบศร์ หากดูจากผังที่ทาง Realist ลองกำหนดขอบเขตโดยประมาณแล้ว พื้นที่จะเริ่มจากบริเวณสะพานพระนั่งเกล้า ข้ามฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาจนสุด ถ.รัตนาธิเบศร์ ที่ย่านบางใหญ่เชื่อมเข้าเส้นทางพิเศษกาญจนาภิเษก ซึ่งในทุกวันนี้พื้นที่ในฝั่งตะวันตกก็เป็นอีกหนึ่งโซนที่น่าจับตามอง โดยปัจจุบันที่ดินบริเวณนี้มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 100,000 บ./ตร.วา และราคาของ High-Rise Condo ในย่านเฉลี่ยอยู่ที่ 77,000 บ./ตร.ม. (Q1 2019)
เรามาลองดูบทวิเคราะห์ของ Realist เกี่ยวกับพื้นที่รัตนาธิเบศร์ฝั่งตะวันตก รวมถึงอัพเดทราคาอสังหาฯภายในย่าน และความน่าลงทุนของย่านในบทความนี้กันครับ
.
ความสำคัญของย่านรัตนาธิเบศร์ฝั่งตะวันตก
ถ้ามองจากมุมของคนในพื้นที่ โซนรัตนาธิเบศร์ฝั่งตะวันตกถือว่าค่อนข้างเงียบ สงบ และไม่ค่อยมีความน่าสนใจมากเท่ากับพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพฯ นัก แต่หากมองเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ชานเมืองที่กำลังขยายตัวเพื่อเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและลงทุน พื้นที่แห่งนี้ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่ง Highlight ของจังหวัดนนทบุรีเลยทีเดียว เพราะทั้งฝั่งของอสังหาริมทรัพย์เจ้าเล็กเจ้าใหญ่ หรือผู้ประกอบการก็ต่างพากันสนใจ ทำให้เห็นว่าพื้นที่ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในเขตชานเมืองก็สามารถเป็นไปได้เหมือนกัน ซึ่งเราต้องลองมองกันทีละส่วน เริ่มตั้งแต่ การมาถึงของโครงการขนาดใหญ่ อย่าง เซ็นทรัลเวสต์เกต ซึ่งโดยปกติห้างส่วนใหญ่จะไปรวมตัวกันอยู่บริเวณใจกลางเมือง
และแนวเส้นรถไฟฟ้าสายสีม่วง เพราะมีกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อรวมตัวกันอยู่ ดังนั้นพื้นที่ตั้งของเซ็นทรัลเวสต์เกต ก็อาจเป็นตัวการันตีได้ระดับหนึ่งว่าพื้นที่แห่งนี้มีแนวโน้มที่จะเติบโตได้ทั้งการค้าและการคมนาคม ซึ่งปัจจุบันการเติบโตของเมืองกำลังถูกปรับเปลี่ยนไปในแนวทางของการกระจายความเจริญออกจากศูนย์กลางไปยังพื้นที่ปริมลฑลมากขึ้น เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันในพื้นที่ต่างๆ โดยรัตนาธิเบศร์ฝั่งตะวันตกถือเป็นอีกหนึ่ง case study สำคัญที่น่าใช้ศึกษาดูผลลัพธ์ต่อจากนี้ไป ว่าการกระจายความเจริญมาสู่ย่านนี้จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเปลี่ยนไปในแง่ใดได้บ้าง
เริ่มสร้างพื้นที่ความเจริญใหม่ในเขตชานเมือง
ต้องยอมรับว่าปัจจุบันกรุงเทพฯ ก็คือศูนย์รวมความเจริญทั้งหมดของประเทศเรา และความเจริญนั้นก็จะถูกกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่คับแคบไม่กี่แห่ง แต่นั่นก็นับว่าเป็นข้อดีของเมืองหลวงในทางเศรษฐกิจ ขณะที่แถบชานเมืองของบ้านเรานั้นความเจริญยังคงกระจัดกระจาย ถ้าเราต้องการจะสร้างเมืองใหม่เพื่อจะกระจายความเจริญออกไปอย่างยั่งยืน เราต้องสร้างเขตกระจุกความเจริญขึ้นภายในพื้นที่ชานเมืองเหล่านั้น เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจและชีวิตที่สะดวกสบาย เฉกเช่นเดียวกับที่ผู้คนมักหาได้จากพื้นที่คับแคบแออัดในเมืองหลวง
หากให้ยกตัวอย่าง ก็น่าจะเป็นเรื่องการพัฒนาเมืองโตเกียวของประเทศญี่ปุ่น โตเกียวจะใช้วิธีกระจุกความเจริญในบางพื้นที่ โดยเฉพาะเขตชานเมือง โดยการปรับปรุงพื้นที่นั้นทีละส่วนจนกลายเป็นเขตเศรษฐกิจแห่งใหม่ ซึ่งการกระจุกความเจริญไม่ใช่เพียงสร้างตึกขนาดใหญ่ในพื้นที่แคบ แต่ต้องเน้นส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้คน โดยการเชื่อมโยงระบบขนส่งสาธารณะ โรงพยาบาล สวนสาธารณะ พิพิธภัณฑ์ รวมไปถึงพื้นที่ทางศิลปวัฒนธรรมเข้าด้วยกันในพื้นที่เดียว
พิจารณาย่านรัตนาธิเบศร์ฝั่งตะวันตก
image : Dcon Prime
จากการเปิดตัวของห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่อย่างเซ็นทรัลเวสต์เกต ทำให้พื้นที่โดยรอบของย่านถูกปรับเปลี่ยนความสำคัญ และเป็นการสร้าง Destination ใหม่ให้แก่คนในย่านได้เป็นอย่างดี อีกทั้งจุดที่ห้างนี้ตั้งอยู่ยังเป็นส่วนปลายของ ถ.รัตนาธิเบศร์ ซึ่งเชื่อมเข้าสู่เส้นทางพิเศษกาญจนาภิเษก โดยถือเป็น Transportation Hub หรือศูนย์รวมเส้นทางคมนาคมหลักจากภาครัฐ ทั้ง รถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางซื่อ - คลองบางไผ่
ทางพิเศษศรีรัช-กาญจนาภิเษก หรือวงแหวนสายตะวันตก โดยถนนเส้นนี้ยังเชื่อมต่อกับมอเตอร์เวย์สายตะวันตก บางใหญ่-บ้านโป่ง-กาญจนบุรี ไปสุดที่ท่าเรือทวายอีกด้วย นอกจากนั้นในอนาคตพื้นที่ฝั่งตะวันตกนี้จะถูกสร้างเส้นทางให้เชื่อมต่อกับฝั่งอันดามัน ก็จะทำให้พื้นที่รัตนาธิเบศร์ฝั่งตะวันตกถูกปรับเปลี่ยนให้สามารถรองรับกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นอย่างดี
เซ็นทรัลเวสต์เกต
image : skyscrapercity
เซ็นทรัลรัตนาธิเบศร์
image : rabbitfinance
บิ๊กซีเอ็กซ์ตร้า
image : googlemap
บิ๊กซีรัตนาธิเบศร์
image : googlemap
ตลาดบางใหญ่
image : googlemap
บางใหญ่ไนท์พลาซ่า
image : googlemap
โรงพยาบาลการุญเวช
image : Baania
โรงพยาบาลเกษมราษฎร์
image : Baania
info : thebangkokinsight
หากพิจารณาจากภาพรวมของตัวจังหวัด นนทบุรี ถือเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่กำลังถูกปรับเปลี่ยนให้รองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจในประเทศอยู่ตลอดเวลา แต่แล้วผังเมืองใหม่ที่ออกมาทำให้พื้นที่พัฒนาเพียงส่วนที่ใกล้กับกรุงเทพฯ เนื่องจากผังเมืองฉบับใหม่จะทำให้พื้นที่ครึ่งหนึ่งของจังหวัดนนทบุรี กลายเป็นพื้นที่สีเขียว (พื้นที่ชนบทและเกษตรกรรม) ที่สามารถพัฒนาได้เพียงบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดเท่านั้น และต้องสร้างแต่ในจุดที่มีถนนสาธารณะที่กว้าง 12-14 ม. จากเดิมกำหนดไว้เพียง 6 ม. หากมองอีกมุม ก็น่าจะเป็นเพราะจังหวัดนนทบุรีเป็นจังหวัดที่คนในพื้นที่ประกอบอาชีพการเกษตรเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว
จึงเหมาะสมในการกันพื้นที่บางส่วนเพื่อชาวสวนได้ประกอบอาชีพมากกว่าการขายที่ดินทิ้ง ในขณะที่พื้นที่สีเหลือง (ที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย) สามารถพัฒนาโครงการทาวน์โฮมได้ แต่ต้องอยู่ติดกับถนนใหญ่เท่านั้นโดยกำหนดให้ ถนนสาธารณะหน้าโครงการต้องกว้าง 10 ม. ขึ้นไป ต้นทุนราคาที่ดินจึงสูงขึ้นมาก ส่วนพื้นที่สีส้ม (ที่อยู่อาศัยหน้าแน่นปานกลาง), พื้นที่สีน้ำตาล (ที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก) สามารถพัฒนาโครงการได้โดยไม่มีข้อกำหนดความกว้างของถนนสาธารณะ แต่ปัจจุบันราคาที่ดินในพื้นที่ก็ขยับตัวสูงขึ้นมากเช่นกัน
ในบริเวณโซนรัตนาธิเบศร์ฝั่งตะวันตก เมื่อดูประกอบกับผังเมืองใหม่ พื้นที่แห่งนี้จะอยู่ในเขตสีน้ำตาล (ที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก) ซึ่งในอดีตราคาประเมินที่ดินก่อนมีแผนโครงการรถไฟฟ้าจะอยู่ประมาณ 40,000 บาท/ตร.วา แต่ปัจจุบันราคาที่ดินประเมินของกรมธนารักษ์ (2559 - 2562) อยู่ระหว่าง 120,000 - 150,000 บ./ตร.วา และมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็วหากผังเมืองในตอนนี้ยังไม่ถูกแก้ไขและพิจารณาใหม่อีกครั้ง
ข้อดีอีกอย่างของโซนรัตนาธิเบศร์ฝั่งตะวันตก คือเป็นพื้นที่บริเวณเขตสีน้ำตาล (ย.7 และ ย.8) จะไม่มีเงื่อนไขขนาดความกว้างถนนในการสร้างโครงการแนวสูง อีกทั้งยังเป็นบริเวณแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง ต่างกับบริเวณอื่นๆ ที่อยู่นอกแนวรถไฟฟ้าหรือผังสีน้ำตาล จะมีเงื่อนไขในเรื่องของความกว้างถนนเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นหากไม่อยู่ในรัศมีรถไฟฟ้าและติดถนนที่มีความกว้างน้อยกว่า 12 เมตร ก็จะพัฒนาอพาร์ตเมนต์ หรือคอนโดมิเนียม ได้เพียง 2,000 ตารางเมตรต่ออาคารเท่านั้น
.
ความเจริญที่เกิดขึ้น และการขยายตัวของย่าน
รถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วง เตาปูน – คลองบางไผ่ ได้เปิดให้บริการไปเมื่อ เดือนสิงหาคม 2559 ปัจจุบันได้มีแผนการสร้างส่วนต่อขยายช่วง เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ โดยขณะนี้ ครม.ได้อนุมัติในการเวนคืนที่ดินในแนวรถไฟฟ้าช่วง เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ แล้ว ซึ่งสถานะของโครงการอยู่ในช่วงเตรียมประกวดราคากันอยู่ คาดว่าน่าจะเปิดให้บริการในปี 2568 โดยสิ่งที่มาพร้อมกันกับรถไฟฟ้าก็คือ โครงการที่อยู่อาศัย ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเริ่มเปิดขายมาตั้งแต่ก่อนการสร้างรถไฟฟ้าเสียอีก ตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันก็มีโครงการคอนโดเปิดขายมากกว่า 30,000 ยูนิตเข้าไปแล้ว เรียกได้ว่าสายสีม่วงเป็นอีกหนึ่งเส้นที่มี Supply ของ Condominium ค่อนข้างสูงทีเดียว
การพัฒนาของย่านย่อมต้องมีข้อดี-ข้อเสีย
แม้แนวโน้มการพัฒนาโครงการอสังหาฯ ตลอดเส้นรถไฟฟ้าสายสีม่วงจะมีนับหมื่นยูนิต แต่เมื่อพิจารณาดูดีๆ จะพบว่ามียูนิตที่รอการระบายอยู่มากกว่า 30,000 ยูนิตด้วยกัน โดยผู้ประกอบการส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถลดราคาได้เกินกว่า 20-30% จากราคาเฉลี่ยที่ประมาณ 70,000-150,000 บ./ตร.ม. เพราะหากลดมากกว่านี้จะเกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้ที่ซื้อโครงการไปในรายแรกๆ อีกทั้งยังไปกระทบต้นทุนด้วย ทางออกจึงมีเพียงการแถมของให้ผู้ที่มาซื้อ ซึ่งทำให้เกิดการทิ้งโอนทิ้งดาวน์ จนต้องนำกลับมา Resale ใหม่อยู่ตลอดเวลา
อาจเป็นเพราะ Over Supply ที่เกิดจากผลการศึกษาของรัฐ ก่อนก่อสร้างสายสีม่วงที่คาดการว่าจะมีผู้โดยสาร 2 แสนคนต่อวัน แต่กลับมีเพียง 2 หมื่นคนต่อวัน ในช่วงที่ยังไม่ต่อเชื่อมกับสายสีนํ้าเงินที่สถานีเตาปูน และเมื่อมีการเชื่อมต่อสถานี เมื่อเดือนสิงหาคม 2560 แม้จะมีคนใช้บริการมากขึ้นแต่อยู่ที่ 5 หมื่นคนต่อวันเท่านั้น สาเหตุที่คนใช้บริการน้อยเกิดจากค่าโดยสารแพง เฉลี่ยไป-กลับวันละ 200 บาทไม่รวมรถโดยสารเชื่อมต่ออื่นๆ
info : ฐานเศรษฐกิจ
.
สำรวจราคาคอนโดแต่ละย่านตามแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง
เมื่อสำรวจคอนโดแบบ High Rise บนเส้นรถไฟฟ้าสายสีม่วงพบว่าส่วนใหญ่มักอยู่ในช่วงเตาปูนถึงสะพานพระนั่งเกล้า โดยทาง Realist แบ่งออกเป็น 4 โซน ซึ่งมีทั้งโครงการเก่าและใหม่ที่เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ ทุกปี โดยโซนที่ราคาสูงที่สุดคือบริเวณแยกเตาปูนที่มีราคาขายเฉลี่ย 143,000 บ./ตร.ม. เนื่องจากความที่อยู่ใกล้กับสถานีกลางบางซื่อ ที่ในอนาคตจะเป็นศูนย์กลางคมนาคมหลักของกรุงเทพฯ จึงส่งผลต่อระดับราคาที่สูง รองลงมาเป็นโซนถ.กรุงเทพฯ-นนทบุรี ราคาขายเฉลี่ย 84,000 บ./ตร.ม. และโซน ถ.ติวานนท์-ถ.รัตนาธิเบศร์ 85,000 บ./ตร.ม.
ซึ่งทั้ง 2 โซนนี้ ราคาค่อนข้างใกล้เคียงกันและไม่เเตกต่างกันมากนัก แต่ โซนถ.กรุงเทพฯ-นนทบุรี จะได้เปรียบเพราะเป็นเส้นที่เข้าใกล้กรุงเทพฯ และสถานีกลางบางซื่อมากกว่า ส่วนโซนที่ราคาถูกที่สุดคือ รัตนาธิเบศร์ฝั่งตะวันตก ราคาขายเฉลี่ย 77,000 บ./ตร.ม. ซึ่งก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผู้ที่ต้องการโครงการคอนโดที่ราคาไม่แพงมากนัก และยังคงอยู่ในบริเวณรถไฟฟ้าสายสีม่วงอยู่ ข้อดีคือเนื่องจากยังมีโครงการเกิดขึ้นไม่มากนัก ทำให้ความสงบของโซนนี้มีค่อนข้างสูงกว่าส่วนอื่นๆ และตามกฎหมายผังเมืองก็กำหนดให้พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่อยู่อาศัยแนวราบ เรื่องวิวจึงได้เปรียบมาก โดยเฉพาะวิวแม่น้ำเจ้าพระยาหากเลือกห้องที่หันหน้าไปทางทิศตะวันออก
โซนรัตนาธิเบศร์ฝั่งตะวันตกนั้น คอนโดจะมีราคาไม่โดดสูงมากนัก และสามารถเลือกเดินทางเข้า-ออกจากพื้นที่ได้สะดวกทั้งทางรถยนต์บนเส้นหลักอย่าง ถ.รัตนาธิเบศร์ และการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า ซึ่งพื้นที่โดยรอบอยู่ในย่านที่อยู่อาศัยเป็นส่วนใหญ่ มีความสงบและสะดวกในการเดินทางไปพร้อมกัน โดยมีข้อดีอีกอย่างคือวิวของแม่น้ำเจ้าพระยา และ สภาวะน่าสบายที่มาจากลมที่พัดผ่านแม่น้ำ จึงเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจหากต้องการซื้อคอนโดที่อยู่อาศัยตามแนวเส้นรถไฟฟ้าสีม่วง
เมื่อมาดูภาพรวมคอนโดแบบ High Rise ในโซนรัตนาธิเบศร์ฝั่งตะวันตก พบว่ามีราคาเฉลี่ยที่ 77,000 บ./ตร.ม. โดยมีโครงการใหม่อยู่หลายโครงการด้วยกัน ที่ปัจจุบันเพิ่งสร้างเสร็จในปี 2018 มีอยู่ 3 โครงการคือ Grow Rattanathibet, Plum Condo (เฟส2) และ Dcon Prime
รัตนาธิเบศร์ (ฝั่งตะวันตก) กับค วามคุ้มค่าในการลงทุน
รัตนาธิเบศร์ฝั่งตะวันตกแม้จะกำลังเติบโต แต่ก็ยังไม่ถือว่ามีตัวเลขที่หวือหวามากนักหากต้องการจะลงทุนในย่านนี้ ในระยะยาวการลงทุนในเรื่องที่ดินอาจมีความน่าสนใจมากกว่าเพราะราคาพื้นที่บริเวณเส้น ถ.รัตนาธิเบศร์กำลังถีบตัวขึ้นอย่างก้าวกระโดด และก็เริ่มหายากขึ้นเรื่อยๆ ก็ต้องรอดูกันต่อไปในแง่ของกฎหมายผังเมือง ส่วนที่อยู่อาศัยแนวราบอย่างบ้านเดี่ยวโครงการเก่า
และโครงการปัจจุบันที่เหลือขายก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าจะนำมาพิจารณา เพราะ ต่อจากนี้โครงการใหม่ๆ ในย่านราคาต้องเพิ่มสูงขึ้นมากแน่ๆ ในส่วนของ High-Rise Condominium ในย่าน ตัวเลข Capital Gain 3.9% ก็ถือว่าน่าพอใจในระดับหนึ่งหากจะซื้อเพื่อลงทุน แต่หากเป็นผู้ที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง คอนโดในย่านนี้น่าจะตอบโจทย์มากที่สุดด้วยปัจจัยในเรื่องการเดินทางที่สะดวกและสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการอยู่อาศัย
High-Rise Condo ในย่าน รัตนาธิเบศร์ตะวันตก
The Rich Park @ Chaophraya
image : richy place
Developer : บริษัท ริชี่เพลส 2002 จำกัด (มหาชน)
Building : 1 อาคาร 33 ชั้น
Units : 633 Units
Plum Condo Central Station
image : livinginsider
Developer : บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)
Building : 1 อาคาร 38 ชั้น
Units : 1,208 units
Grow Rattanathibet
image : bannia
Developer : บริษัท โกรว พรอพเพอร์ตี้ จำกัด
Building : 1 อาคาร 34 ชั้น
Units : 364 Units
Casa Condo Sam Yaek Bangyai
image : hipflat
Developer : Quality House Plc. (Q.House)
Building : 1 อาคาร 39 ชั้น
Units : 847 Units
DCON PRIME RATTANATHIBET
FACT
Project : Dcon Prime Rattanathibet
Developer : บริษัท อรดา จำกัด
Area : 2-1-16 ไร่
Location : อยู่บนเส้น ถ. รัตนาธิเบศร์ ต.ไทรม้า อ.เมือง จ.นนทบุรี ติด MRT ไทรม้า
Type : High Rise Condo
Building : 1 อาคาร 38 ชั้น
Unit per Floor : 22 ยูนิต / ชั้น
Parking : รวมจอดซ้อนคันประมาณ 199 คันคิดเป็น 31%
UNIT PACKAGE
– Fully Furnished
UNIT TYPE
Total units : ส่วนพักอาศัย 638 ยูนิต ร้านค้า 3 ยูนิต
1 Bedrooms 26.58 - 33.05 ตร.ม.
2 Bedrooms 48.25 - 60 ตร.ม.
Facilities
Lobby Lounge
Library
Meeting room
Sky Fitness
สระว่ายน้ำระบบเกลือ
Sky Lounge
Rooftop Garden
Sauna
PRICE
เริ่มต้นที่ 1.59 ลบ.
(ราคาเฉลี่ยทั้งโครงการ 68,000 บ./ตร.ม. ณ วันที่ 7 ก.พ 2562)
การก่อสร้าง : สร้างเสร็จพร้อมโอน
Dcon Prime Rattanathibet
เป็นอีกหนึ่งโครงการใหม่ที่น่าสนใจ ของ บริษัท อรดา จำกัด ราคาเริ่มต้น 1.59 ลบ. ตั้งอยู่ติดกับสถานีไทรม้า ให้เฟอร์พร้อมอยู่ โดยมีจุดเด่นที่ได้รับวิวของโค้งน้ำเจ้าพระยาแบบเต็มๆ นอกจากจะเหมาะกับการอยู่อาศัยเองแล้วการลงทุนในระยะยาวในโครงการ ก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน โดยการปล่อยเช่าห้องจะมีรายได้จากค่าเช่าประมาณ 6,500 บาทต่อเดือน หรือ คิดเป็น Yeild ที่ 4.9% (สำหรับราคา 1.59 ลบ)
.
FACILITIE S
SHOW UNIT
Bedroom
Living
Dining
อยากรู้ข้อมูลของโครงการ
ตามต่อได้ที่
www.dconprime.com/