หลังเงาพระเมรุมาศ
ขอขอบคุณเนื้อหาและภาพเกือบทั้งหมด จากสมาคมสถาปนิกสยามฯ (ASA) ในวารสารเล่มพิเศษ "หลังเงาพระเมรุมาศ" ของ ASA CREW และงานสัมมนาสถาปัตยกรรม พระเมรุมาศ รัชกาลที่ 9 มาถ่ายทอดแก่สาธารณะชนได้รับชมกันครับ
ทาง Realist ได้มีโอกาสเข้าชมงานเสวนา สถาปัตยกรรมพระเมรุมา ศ รัชกาลที่ ๙ ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยา ช่วงเดือน พ.ย. 2560 ที่ผ่านมา
ว่ากว่าจะมาเป็นพระเมรุมาศและพื้นที่สำหรับประกอบพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
ได้ผ่านกระบวนการทางความคิดมากอย่างมากมาย ในการออกแบบเพื่อที่จะถ่ายทอดออกมาได้อย่างวิจิตรบรรจง ของเหล่าสถาปนิกที่ได้มาเล่าขานให้ฟังกันในวันนี้ รวมถึงความทุ่มเท ร่วมแรงร่วมใจของผู้เกี่ยวข้องในทุกๆฝ่าย ที่อุทิศให้งานออกมาได้อย่างสมพระเกียรติ
กลุ่มสถาปนิกผู้ทำงานด้าน สถาปัตยกรรมไทย กรมศิลปากร ที่เคยมีประสบการณ์สร้างพระเมรุมาศและพระเมรุทั้งในอดีตและปัจจุบัน ได้ร่วมแรงร่วมใจนำความรู้ทางวิชาชีพและประสบการณ์ที่ได้รับการฝึกฝนจากครู อาจารย์มาใช้อย่างเต็มความสามารถ เช่นเดียวกับงานก่อสร้างพระเมรุมาศและพระเมรุในทุกๆครั้ง นอกเหนือจากงานด้านสถาปัตยกรรมไทยแล้ว ยังมีการทำงานร่วมกับสถาปัตยกรรมแขนงอื่น ๆ เช่น สถาปัตยกรรมภายใน มัณฑนศิลป์ ภูมิสถาปัตยกรรม รวมถึงกลุ่มวิชาชีพอื่น ๆ เพื่อให้ได้ผลงานที่สมพระเกียรติและเสร็จสมบูรณ์ทันเวลา
พลอากาศตรี อาวุธ เงินชูกลิ่น (มีนาคม ๒๔๕๘-กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖) ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (ประยุกต์ศิลป์) สาขาย่อยสถาปัตยกรรม ปี ๒๕๔๑ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร บุคลากร คนสำคัญด้านสถาปัตยกรรมไทยและเป็นหัวหน้าผู้ออกแบบพระเมรุมาศและพระเมรุ ถึง ๓ ครั้ง เคยกล่าวไว้ว่า “งานดี ไม่ทันเวลา ค่าไม่มี” การทำงานครั้งนี้จึงเป็นความท้าทายของทุกฝ่าย เนื่องจากเป็นงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง และเป็นงานใหญ่กว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ทว่ามีระยะเวลาดำเนินงานไม่นานนัก แต่ด้วยปณิธานอันเป็นหนึ่งเดียวกันของ
คนทำงานทุกคนที่เกี่ยวข้องว่า ต้องปฏิบัติงานถวายอย่างเต็มพละกำลังและความสามารถ จึงเป็นที่มาของการเก็บรวบรวมภาพการทำงานตลอดระยะเวลาเกือบ ๑ ปี
จุดเริ่มต้นของการทำงาน
๑๙ นาฬิกาของวันพฤหัสบดีที่ ๑๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ นาทีแรกที่สำนักพระราชวังแถลงการณ์
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เสด็จสวรรคต
บุคลากรทั้งหมดในสำนักสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร ได้เริ่มลงมือทำงานทันทีด้วยเหตุผลสองประการ
ประการแรกคือ ด้วยความเป็นข้าราชการที่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ ด้วยความรู้ ความชำนาญในวิชาชีพ
ประการที่สองคือ ในฐานะของประชาชนชาวไทยที่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และต้องการ ปฏิบัติงานถวายอย่างสุดกำลังความสามารถ จึงนำไปสู่ภาพการระดมความคิดในช่วงเวลาค่ำ ของวันเดียวกันนั้น หลายคนที่แยกย้ายกันกลับบ้านไปแล้วได้เดินทางกลับมาที่สำนักงาน เพื่อ ประชุมเตรียมงานสำหรับการทำแบบร่างแรกพระเมรุมาศ และทำงานอย่างต่อเนื่องจนถึงรุ่งเช้า
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการประชุมครั้งแรก ถูกต่อยอดอีกเป็นการประชุมในครั้งถัดไป เพื่อระดมความคิดควบคู่ไปกับการค้นคว้าหาข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือและถูกต้อง จนกระทั่งสรุปแบบร่างพระเมรุมาศได้ ๔ แบบ แนวคิดหลักในการออกแบบมี ๓ ประการ คือ
๑. ออกแบบและจัดสร้างพระเมรุมาศอย่างสมพระเกียรติ เพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
๒. ศึกษาและออกแบบตามหลักโบราณราชประเพณีการสร้างพระเมรุมาศของ พระมหากษัตริย์ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
๓. ศึกษาและออกแบบโดยใช้แนวคิดคติไตรภูมิ ตามคัมภีร์พระพุทธศาสนา และคติความเชื่อเรื่องพระมหากษัตริย์ในสถานะสมมติเทพ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีในฐานะทรงรับเป็นที่ปรึกษาการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
มีพระราชวินิจฉัยให้กรมศิลปากรดำเนินการพัฒนาแบบพระเมรุมาศทรงบุษบก ๙ ยอด เพื่อการพระเมรุในครั้งนี้
พระเมรุมาศ ศูนย์กลางแห่งจักรวาล
ครั้งนี้คณะผู้ปฏิบัติงานได้กำหนดจุดศูนย์กลางของพระเมรุมาศ โดยอาศัยตำแหน่ง จุดตัดของแกนสำคัญ ๒ แกน
คือ แกนทิศเหนือ-ใต้ ได้แก่ แนวแกนที่ขนานกับสนามหลวง ไปจนถึงยอดพระศรีรัตนเจดีย์ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และอีกแกนหนึ่งคือแกนทิศตะวัน ออก-ตะวันตก ได้แก่ แนวแกนตั้งฉากกับแกนแรกไปยังจุดศูนย์กลางพระอุโบสถวัดมหาธาตุ ยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร และออกแบบให้สระน้ำล้อมรอบพระเมรุมาศเป็นเสมือน สระอโนดาต เป็นที่อยู่ของสัตว์หิมพานต์
ส่วนการออกแบบงานภูมิทัศน์ใช้ระบบสัญลักษณ์ แทนสัณฐานของจักรวาล เน้นการจำลองบรรยากาศ การใช้สัญลักษณ์ เช่น สัตว์ในป่าหิมพานต์ และเลือกพืชพรรณที่เกี่ยวข้องกับโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ภาพนี้ทำให้เห็นแกนดังกล่าวได้ชัดเจน และเป็นรูปธรรมที่สุด ส่วนอาคารด้านขวาที่ปรากฏในภาพคือพระที่นั่งทรงธรรม
แผนผังสามมิติของพระเมรุมาศและอาคารประกอบ
ภาพนี้แสดงให้เห็นตำแหน่งของพระเมรุมาศ ซึ่งเป็นองค์ประธานที่ตั้งอยู่กลางพื้นที่พระ ราชพิธี มีอาคารรายล้อมหลายอาคาร ประกอบด้วยพระที่นั่งทรงธรรม เป็นอาคารใหญ่ตั้งอยู่ ทางทิศตะวันตกของพระเมรุมาศ ศาลาลูกขุนทั้งทางด้านซ้าย-ขวา รอบนอกสุดคือทิม ซึ่งใช้ เป็นที่พักสำหรับพระสงฆ์ แพทย์หลวง เจ้าพนักงาน
และเป็นที่ประโคมปี่พาทย์ประกอบพิธี สุดท้ายคือทับเกษตร เป็นอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อแสดงถึงขอบเขตมณฑลพิธี ใช้เป็นที่นั่งของ ข้าราชการที่มาร่วมพระราชพิธี จากภาพมุมสูงทำให้เห็นอาคารแวดล้อมที่สวยงามและส่งเสริม ความสง่างามของพระเมรุมาศที่เป็นองค์ประธานกลางมณฑลพิธี
การวางผังและออกแบบภูมิทัศน์
จากคติความเชื่อเรื่องโลกและจักรวาลที่กล่าวไว้ในไตรภูมิฉบับพญาลิไท ซึ่งบรรยายถึงลักษณะสัณฐานจักรวาล ว่ามีรูปทรงเป็นทรงกลมศูนย์กลางของจักรวาลคือเขาพระสุเมรุ ซึ่งล้อมรอบด้วยสัตบริภัณฑ์ (ภูเขาทั้ง ๗) มหานทีสีทันดร (แม่น้ำทั้ง ๗) และทวีปทั้ง ๘ ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นที่อยู่ของมนุษย์ ขอบนอกสุดคือกำแพงจักรวาล ยอดเขาพระสุเมรุคือสวรรค์ ดังนั้นตามคติความเชื่อว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นสมมติเทพ ซึ่งสถิตบนสวรรค์หรือเป็นดั่งองค์นารายณ์ที่อวตารลงมา เพื่ออำนวยความสงบสุขในโลกมนุษย์ เมื่อถึงกาลสิ้นอายุ จึงเสด็จสู่สวรรคต หมายถึง การกลับไปสู่สวรรค์ ณ เทวสถาน คือยอดเขาพระสุเมรุ
การพระบรมศพตามโบราณราชประเพณี จึงเป็นการถวายพระเกียรติยศและแสดงความเคารพอย่างสูงสุด ช่างทุกแขนงจึงรวมใจถวายงานสุดฝีมือเพื่อสร้างพระเมรุมาศให้งดงามเทียบได้กับเทวสถานบนสรวงสวรรค์ จึงมีการประดับตกแต่งด้วยสีทอง เพื่อเป็นตัวแทนของสวรรค์บนยอดเขาพระสุเมรุและการกำหนดตำแหน่งจุดกึ่งกลางในการสร้างพระเมรุมาศนั้นก็เป็นเช่นเดียวกับการกำหนดศูนย์กลางของจักรวาล
พระเมรุมาศทรงบุษบก ๙ ยอด ออกแบบโดยก่อเกียรติ ทองผุด
พระเมรุมาศในพระราชพิธีในครั้งนี้เป็นพระเมรุมาศทรงบุษบก ๙ ยอด ออกแบบโดย ก่อเกียรติ ทองผุด นายช่าง ศิลปกรรมแห่งกรมศิลปากร
ซึ่งเป็นศิษย์ของพลอากาศตรีอาวุธ เงินชูกลิ่นการออกแบบพระเมรุมาศนี้ยึดตามหลักโบราณราช ประเพณี องค์พระเมรุมาศ ประกอบด้วยอาคารทรงบุษบก ๙ องค์ ความสูง ๕๐.๔๙ เมตร ตั้งอยู่บนชาลาหรือฐานย่อมุม ไม้สิบสอง ความกว้างของชาลาด้านละ ๖๐ เมตร แบ่งออกเป็น ๓ ชั้น ได้แก่
ชาลาที่ ๑ เป็นชั้นที่ประกอบไปด้วยรั้วราชวัติ
ชาลาที่ ๒ ประกอบด้วยหอเปลื้อง ตั้งอยู่ที่มุมทั้งสี่
ชาลาที่ ๓ ประกอบด้วยซ่างทรงบุษบกยอดมณฑปชั้นเชิงกลอน ๕ ชั้น ตั้งอยู่ทั้งสี่มุมสำหรับพระสงฆ์สวดอภิธรรม
พื้นที่รอบฐานพระเมรุมาศ มีสระอโนดาตอยู่ทั้ง ๔ มุมประดับด้วยเขามอและประติมากรรมสัตว์หิมพานต์ เช่น กินรี คชปักษา คชสีหะ สื่อถึงสัณฐานของเขาพระสุเมรุที่ตั้งของสรวงสวรรค์ นอกจากองค์พระเมรุมาศแล้วยังมีอาคารประกอบอื่น ๆทั้งที่อยู่ภายในมณฑลพิธีและภายนอกอีก หลายหลังซึ่งอาคารแต่ละหลังรองรับการใช้งานที่แตกต่างกัน
จากภาพร่างสู่งานจริงงานขยายแบบที่ใหญ่ที่สุด
“โต๊ะ” ที่พูดถึงนี้ จริง ๆ แล้วก็คือ “โรงขยายแบบ” นั่นเอง
ที่ว่าเป็นโต๊ะขยายแบบที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็เพราะต้องใช้ “พื้น” ของโรงขยายแบบเป็นที่ทำงาน ในช่วงแรกของการทำงานได้มีการก่อสร้างโรงขยายแบบชั่วคราวขึ้นในพื้นที่ท้องสนามหลวง เพื่อสะดวกในการทำงานร่วมกันกับการก่อสร้างหน้างาน ต่อมาโรงขยายแบบเหล่านี้ถูกรื้อออกเพื่อสร้างอาคารประกอบพระราชพิธีผู้ปฏิบัติงานจึงได้ย้ายการทำงานคัดลอกขยายลายส่วนที่เหลือไปอยู่ที่โรงละครแห่งชาติ (โรงเล็ก)
วิธานสถาปกศาลา (อ่านว่า วิ-ทา-นะ-สะ-ถา-ปะ-กะ-สา-ลา) เป็นชื่อที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานให้แก่โรงขยายแบบนี้ ความหมายของชื่อแปลว่าโถงอันเป็นที่ตระเตรียมงานสถาปัตยกรรม
เมื่อเทียบกับการสร้างพระเมรุมาศทุกครั้งที่ผ่านมา ครั้งนี้ถือว่าขนาดของโรงขยายแบบมีขนาดใหญ่มาก
บริเวณผนังด้านหนึ่งของโรงขยายแบบแห่งนี้ยังมีตัวอักษรลายพระหัตถ์ “วิธานสถาปกศาลา (โรงขยายแบบ)” หล่อด้วยเรซินติดประดับรวมทั้งมีโต๊ะทรงงาน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทอดพระเนตรความคืบหน้าในการก่อสร้างพระเมรุมาศอย่างใกล้ชิดเป็นประจำทุกเดือน สร้างขวัญและกำลังใจให้แก่เจ้าหน้าที่และคณะผู้ปฏิบัติงานเป็นอย่างยิ่ง
มหันธโนฤกษ์ ยกเสาเอกพระเมรุมาศและการก่อสร้าง
ฤกษ์ใหญ่ยกเสาเอก วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ เวลา ๑๐.๐๑ - ๑๐.๕๔ น.
พิธีเริ่มโดยประธานจุดธูปเทียนบูชาเครื่องบวงสรวง พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ประธานพระครูพราหมณ์อ่านโองการบวงสรวงการก่อสร้างพระเมรุมาศและอาคารประกอบ รดน้ำเทพมนต์ เจิมเสา จากนั้นประธานในพิธีสรงนำ้ปิดทองผูกแพร ๓ สีที่เสาเอกพระเมรุมาศ พร้อมถือสายสูตรยกเสาเอกพระเมรุมาศขึ้นตั้ง พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา เจ้าพนักงานประโคม ฆ้องชัย สังข์ บัณเฑาะว์ ดนตรีบรรเลงเพลงมหาฤกษ์ รำบวงสรวง จนถึงเวลา๑๐.๕๔ น. จึงเสร็จพิธีบวงสรวงการก่อสร้างและยกเสาเอกพระเมรุมาศที่พร้อมสำหรับงานก่อสร้างต่อไป
การสร้างพระเมรุมาศครั้งนี้เป็นงานที่ใหญ่กว่าทุกครั้งที่ผ่านมา แม้จะเป็นการออกแบบสิ่งก่อสร้างชั่วคราว แต่ก็ต้องทำให้มีความแข็งแรง คงทน และสมพระเกียรติยศ สำหรับความท้าทาย
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงตระหนักถึงการใช้วัสดุและวิธีการก่อสร้างที่ควรสอดคล้องกับแนวคิดเรื่องการหมุนเวียนใช้ทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด จึงมีพระราชดำรัสถึงการลดการใช้ไม้และนำทรัพยากรที่สามารถหมุนเวียนมาใช้ใหม่ได้
ทีมสถาปนิกผู้ออกแบบและทีมวิศวกรได้น้อมนำแนวคิดนี้มาประยุกต์ใช้ในการทำงาน เช่น การเปลี่ยนจากเสาไม้เป็นเสาเหล็กที่สามารถถอดประกอบนำไป ใช้ใหม่ได้ โดยยึดโครงสร้างส่วนต่าง ๆ ไว้ด้วยนอต
การใช้วัสดุพีวีซีผสมเนื้อไม้หรือการทำต้นแบบและหล่อเรซินแทนการใช้ไม้ เพื่อทำส่วนประดับตกแต่งพระเมรุมาศและอาคารโดยรอบ จัดเป็นวัสดุที่เหมาะสมกับงานครั้งนี้ เนื่องจากผลิตงานได้รวดเร็วและประหยัดเวลาในการทำงานครั้งนี้ยังได้นำเอาเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาช่วยลดขั้นตอน เพื่อให้รวดเร็วขึ้น เช่นการตัดด้วยระบบ CNC (Computer Numerical Control) โดยการโปรแกรมข้อมูลเข้าคอมพิวเตอร์ผลที่ได้คืองานตัดแกะลวดลายที่มีความแม่นยำสูงกล่าวได้ว่าวิธีคิดเรื่องลดการสร้างขยะถูกนำมาใช้ตลอดระยะเวลาการทำงานในครั้งนี้เลยทีเดียว
งานออกแบบตกแต่งภายใน พระที่นั่งทรงธรรม
การทำงานออกแบบตกแต่งภายในพระที่นั่งทรงธรรมได้แบ่งพื้นที่ออกเป็น ๓ ส่วน
ได้แก่ พื้นที่บริเวณส่วนกลาง ซึ่งเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงธรรมในพระราชพิธี และส่วนที่เป็นพื้นที่ด้านปีกซ้ายและปีกขวา เป็นพื้นที่สำหรับเจ้านายชั้นสูง พระราชอาคันตุกะและเหล่าทูตานุทูต
ที่มาและความหมายของสีในงานออกแบบ
สีเทา สีขาว และสีทอง เป็นกลุ่มสีที่ถูกเลือกเพื่อใช้ในงานก่อสร้างอาคาร เหตุผลที่ต้องเป็น ๓ สีนี้เนื่องจากในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรสีเหล่านี้ถูกนำมาใช้ในงานก่อสร้างประจำรัชกาลหลายครั้ง เช่น การก่อสร้างอาคารวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร มีพระราชดำริ ให้สร้างขึ้นใน พ.ศ. ๒๕๓๘ เป็นสีที่ใกล้เคียงกับหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล-อดุลยเดช ที่คลองห้า จังหวัดปทุมธานี อีกทั้งยังเป็นสีที่ใกล้เคียงกับสีที่ซุ้มประตูของพระบรมมหาราชวังอีกด้วย
สีทอง เป็นสีที่เชื่อมโยงถึงพระมหากษัตริย์ และเป็นหนึ่งในสีสำคัญที่ถูกนำมาใช้ในงานพระราชพิธีครั้งนี้ด้วย สถาปนิกทดลองนำสีทองหลายรูปแบบมาทดลองก่อนให้สีจริง เพื่อให้เกิดสีทองที่ดูโดดเด่นมากขึ้น จากรูปเป็นการลงสีหลังรองพื้นชิ้นส่วนของอาคาร เริ่มจากสีขาวอะคริลิก จากนั้นรองสีพื้นวัตถุด้วยสีแดงหรือสีเหลือง แล้วจึงพ่นสีทองอีกชั้นหนึ่ง เพื่อทดสอบว่าสีใดจะช่วยขับให้สีทองดูโดดเด่นที่สุด จากนั้นทิ้งไว้หนึ่งสัปดาห์เพื่อให้มั่นใจถึงความคงทนและเฉดสีที่ไม่ผิดเพี้ยนไปจากเดิมหลังการทดลองพบว่าการใช้สีแดงคู่กับสีเหลืองจะทำให้สีทองดูสวยที่สุด
ความหมายที่ซ่อนอยู่
ปัจฉิมคาถา หน้าบันพลับพลายก
การตกแต่งหน้าบันพลับพลายก ณ ท้องสนามหลวง นฤพร เสาวนิตย์ สถาปนิกชำนาญการ กรมศิลปากร ผู้ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบการออกแบบและสร้างพลับพลายก ได้ยกข้อความตัดย่อเฉพาะท่อนจากปัจฉิมคาถามาตกแต่งหน้าบัน โดยสื่อด้วยข้อความอักษรไทยขอม เนื้อความเกี่ยวกับไตรลักษณ์ ได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สำหรับปัจฉิมคาถานั้นเป็นคาถาขอขมาพระสงฆ์ ที่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ มีพระราชดำริให้ขุนนางเชิญไป กล่าวในที่ประชุมสงฆ์เพื่อขอขมา ลักษณะการนำเสนอด้วยข้อความนอกเหนือไปจากการนำเสนอด้วยชิ้นงานศิลปะนี้ แสดงให้เห็นว่าผู้ออกแบบมีโอกาสแสดงความคิดสร้างสรรค์ของตนได้ตามสมควร
เทคนิคสาบสีและตบสี
เทคนิคการฉลุผ้าทองย่นสาบสีสอดแวว คือศิลปกรรมที่ลดทอนมาจากการปิดทองประดับกระจกอย่างงานสถาปัตยกรรมไทยประเพณี
ซึ่งใช้ผ้าทองย่นแทนการปิดทอง และใช้กระดาษสีแทนการประดับกระจก โดยขั้นตอนคือต้องออกแบบลายไม่ให้ขาดจากกัน แล้วนำไปฉลุ หรือใช้การตอกผ้าทองย่นให้เกิดช่องว่างตามลวดลายที่เขียนไว้ จากนั้นใช้กระดาษสีปิดแทนกระจก แล้วจึงสาบกระดาษสีพื้นแผ่นใหญ่ด้านหลัง อีกทับหนึ่ง ส่วนเทคนิคการตบสีเริ่มด้วยการออกแบบลายให้เกิดช่องว่างขาดจากกัน แล้วนำแผ่นพลาสติกมาตัดตามลายนั้น จะได้แบบพลาสติก ที่เจาะช่องแล้ว นำลูกประคบจุ่ม แตะสี แล้วจึงตบตามช่องให้เกิดเป็นลวดลาย
ศิลปะการซ้อนไม้
กรรมวิธีการซ้อนไม้จะเริ่มต้นขึ้นเมื่อสถาปนิกขยายแบบเท่าจริงจนได้สัดส่วนสวยงามและมีลวดลายตามที่ต้องการจากนั้นจึงคัดเส้นลงตามที่ประสงค์บนกระดาษไขเพื่อส่งให้ช่างทำการซ้อนไม้ การซ้อนไม้นี้คือการตัดไม้ตามเส้นลายที่วาดไว้ในแผ่นกระดาษ ช่างไม้จะเตรียมไม้อัดประกบความหนาให้ได้ชั้นตามแบบ การซ้อนไม้นี้คือการตัดไม้ตามเส้นลาย นำมาซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ประดับด้วย สีทองและกระดาษแววให้เกิดมิติ ซึ่งลดทอนมาจากศิลปะการแกะไม้ปิดทองประดับกระจกผู้ออกแบบเขียนลายจะต้องระบุความตื้นลึกของแต่ละชั้นไว้
เพื่อให้ช่างไม้สามารถตัดและซ้อนตามแบบได้อย่างถูกต้อง ปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนวัสดุและเทคนิคไปตามวิทยาการงาน สถาปัตยกรรมและวิศวกรรมในแต่ละยุคสมัย มีการทดลองหาวัสดุทดแทน
เช่น ใช้การซ้อนไม้จริงทำต้นแบบ แล้วจึงนำไปทำพิมพ์เพื่อหล่อชิ้นงานเรซินในองค์ประกอบที่ซ้ำ ๆ กัน ทั้งนี้เพื่อความเหมาะสมแก่ยุคสมัยมากที่สุด
สระอโนดาต
คำว่า “อโนดาต” มาจากศัพท์ “อโนตตฺต” ในภาษาบาลี ตรงกับรูปศัพท์ในภาษาสันสกฤตว่า “อนฺวตปฺต” ซึ่งมีความหมายตรงกันว่า “ไม่ร้อน”
(อ้างอิง : วารสารดำรงวิชาการ คณะโบราณคดีมหาวิทยาลัยศิลปากร) สระอโนดาตเป็น สระ ๑ ในสระทั้ง ๗ ในป่าหิมพานต์ ซึ่งธารน้ำ ทั้งหลาย
จะไหลรวมมาสู่สระนี้ พื้นสระอโนดาตเป็นแผ่นหินกายสิทธิ์ชื่อ “มโนศิลา” บริเวณที่เป็นดินก็เป็นดินกายสิทธิ์ชื่อ “หรดาล” น้ำใสสะอาด มีท่าสำหรับลงอาบของพระพุทธะ พระปัจเจกพุทธะ และผู้มีฤทธิ์ทั้งหลาย และมีท่าสำหรับลงเล่นน้ำของพวกเทพและยักษ์ เป็นต้น รอบสระอโนดาตมียอดเขารายรอบอยู่ ๕ ยอด
ได้แก่ ยอดเขาสุทัสสนะ ยอดเขาจิตตะยอดเขากาฬะ ยอดเขาไกรลาส และยอดเขาคันธมาทน์ยอดเขาทั้ง ๕ มีรูปทรงคล้ายยอดเขาสุทัสสนะ คือมีสัณฐานโค้งงุ้มดังปากกา โอบปิดด้านบนสระอโนดาตไว้ไม่ให้โดนแสงอาทิตย์และแสงจันทร์ มีเทวดาและนาคเป็นผู้ดูแลรักษาสระอโนดาตมีปากทางให้น้ำไหลระบายออกอยู่ ๔ แห่ง ทิศละแห่ง คือ สีหมุข ปากแม่น้ำแดนราชสีห์ (เป็นถิ่นที่ราชสีห์อาศัยอยู่มาก) หัตถีมุข ปากแม่น้ำแดนช้าง (เป็นถิ่นที่ช้างอาศัยอยู่มาก)
อัสสมุข ปากแม่น้ำแดนม้า (เป็นถิ่นที่ม้าอาศัยอยู่มาก) อุสภมุข ปากแม่น้ำแดนโค อุสภะ (เป็นถิ่นที่โคอาศัยอยู่มาก) ทำให้เกิดเป็นแม่น้ำใหญ่ ๔ สายไหลหล่อเลี้ยงรอบนอกเขาหิมพานต์ก่อนลงสู่มหาสมุทรสัตว์มงคล ๔ ประเภทที่ติดตั้งตรงทิศทั้ง ๔ ของสระอโนดาตรอบฐานพระเมรุมาศ ล้วนได้แนวความคิดมาจากปากแม่น้ำสำคัญทั้ง ๔ สายและถิ่นที่อาศัยของสัตว์หิมพานต์เหล่านี้
เคลื่อนย้ายต้นมะขาม
ต้นมะขาม ถือเป็นสัญลักษณ์ของท้องสนามหลวง จำนวน ๔๔ ต้น แบ่งเป็นต้นฝั่งทิศเหนือ ๓๐ ต้น และต้นฝั่งทิศใต้ ๑๔ ต้น ทั้งหมดถูกเคลื่อนย้ายออกเพื่อเปิดพื้นที่ให้ทุกตารางเมตรพร้อมอย่างที่สุดสำหรับงานก่อสร้างพระเมรุมาศ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงมีความเป็นห่วงการย้ายต้นมะขามครั้งนี้มาก ทางกรุงเทพมหานครจึงร่วมกับโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) ทำการอนุรักษ์พันธุกรรมมะขามที่ถูกขุดล้อมย้ายออกทั้ง ๔๔ ต้น ด้วยการตัดกิ่งไปเสียบยอดในสวนจิตรลดาประมาณ ๑,๐๐๐ กิ่ง และสำนักสิ่งแวดล้อมได้นำกิ่งไปเพาะชำไว้ประมาณ ๑,๐๐๐ กิ่ง รวมถึงทาบกิ่งและตอนกิ่งไว้อีกประมาณ ๕๐๐ กิ่ง เพื่อให้มั่นใจว่าต้นมะขามอายุนับร้อยปีทั้งหมดนี้จะยังคงอยู่อย่างปลอดภัย และพร้อมคืนกลับมาสู่จุดเดิมเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของท้องสนามหลวงสืบไป
พื้นที่ด้านนอกรั้วราชวัติ
พื้นที่ด้านนอกรั้วราชวัติออกแบบโดยสื่อถึงโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เกี่ยวกับป่า ดิน และน้ำ เช่น ฝายน้ำล้น กังหันชัยพัฒนา และหญ้าแฝก บริเวณด้านหน้าพระเมรุมาศออกแบบเป็นบ่อแก้มลิง และคันนารูปเลขเก้าไทย (๙)
ใช้ดินผสมทรายสีทองสำหรับปลูกข้าวจนกลายเป็นขอบคันนาสีทองอร่าม ส่วนข้าวที่นำมาปลูกในแปลงนาเป็นกลุ่มพันธุ์ข้าวที่มีกลิ่นหอม ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสายพันธุ์ที่มีการทดลองและขยายพันธุ์ในโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา และได้พระราชทานไปสู่ชาวนาทำให้ชาวนามีรายได้ที่มั่นคง
"ในมุมมองของสถาปนิก ทุกตำแหน่งหน้าที่มีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้งานสร้างพระเมรุมาศสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีตั้งแต่ครูอาจารย์ของสถาปนิกที่ฝึกฝนพวกเขาด้วยความทุ่มเท บุคลากรด้านอื่นที่สถาปนิกได้ร่วมงานด้วย ทั้งวิศวกร ผู้รับเหมาก่อสร้าง นักออกแบบตกแต่งภายใน ไปจนถึงแม่บ้าน
พนักงานทำความสะอาด อาสาสมัคร รวมถึงหน่วยรักษาความปลอดภัย ผู้เป็นเบื้องหลังที่ทำให้ทุกฝ่ายสามารถทำงานได้อย่างราบรื่น ทั้งนี้ เพราะทุกคนต่างมีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือทำงานอย่างเต็มที่สุดหัวใจและกำลังความสามารถ เพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ผู้ทรงเป็นที่รักของชาวไทยทั้งปวง"
ขอขอบคุณที่มาและศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
asa.or.th และ kingrama9.net